อาวุธเสียงที่ไร้เสียงมีจริงหรือไม่ ?

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ รายงานว่า เจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตอเมริกันที่กรุงฮาวานาของคิวบาอย่างน้อย 16 คน ได้อ้างว่ามีอาการป่วยประหลาดโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาการป่วยนี้รวมถึงหูดับ สูญเสียความสามารถในการได้ยินชั่วคราว รวมทั้งอาการอื่นๆ ที่คล้ายกับถูกโจมตีด้วย “อาวุธเสียง” หรือการถูกทำร้ายด้วยคลื่นเสียงรบกวน ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันมานานในด้านการทหารและการปราบจลาจล อย่างไรก็ตาม เหตุในครั้งนี้มีความแปลกประหลาดยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่มีผู้ได้ยินเสียงผิดปกติใดๆ ขณะเกิดเหตุแม้แต่คนเดียว
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เหตุโจมตีดังที่อ้างเกิดขึ้นที่บริเวณบ้านพักของบุคลากรสถานทูตสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องยากที่ผู้ก่อเหตุจะลอบโจมตีอย่างเงียบเชียบ และหลบหนีไปได้อย่างง่ายดายในขณะที่ต้องเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ “อาวุธเสียง” ที่ควรจะมีขนาดใหญ่พอสมควร ยังไม่มีผู้ใดทราบชัดว่า มีการใช้อาวุธเสียงรุ่นใหม่ที่สามารถโจมตีได้อย่างเงียบเชียบหรือไม่ หรืออาวุธเสียงแบบที่ว่านี้มีอยู่จริงหรือเปล่าในปัจจุบัน
เสียงทำอันตรายได้อย่างไร ?
เสียงที่ดังหรือคลื่นเสียงที่รุนแรงเกินไป อาจสร้างความเสียหายแก่เซลล์เส้นขนที่หูชั้นใน ซึ่งเป็นตัวรับคลื่นเสียงและส่งสัญญาณไปยังสมองได้ ทำให้คนเราต้องสวมเครื่องป้องกันหรือใช้ที่อุดหูเวลาได้ยินเสียงดัง มิเช่นนั้นอาจเกิดอาการหูดับหรือเกิดเสียงรบกวนภายในหูในภายหลัง
นอกจากส่งผลกระทบต่อการได้ยินแล้ว ผู้ที่ถูกโจมตีด้วยคลื่นเสียงรบกวนยังมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ ทรงตัวไม่อยู่ เกิดตะคริวที่กล้ามเนื้อท้องหรือปวดเกร็งที่ท้อง บางรายอาจถึงขั้นเกิดความเสียหายที่สมองได้
อาวุธเสียงที่ไม่มีเสียงจะทำงานอย่างไร ?
ความเป็นไปได้ของอาวุธชนิดนี้มีอยู่สองทาง คือใช้คลื่นเสียงในย่านที่มีความถี่ต่ำเกินไป หรือไม่ก็มีความถี่สูงเกินไปกว่าที่หูของมนุษย์จะสามารถได้ยิน
สำหรับคลื่นความถี่ต่ำนั้น ต้องมีความถี่ต่ำกว่า 20 เฮิร์ตซ์ หรือที่เรียกว่าอินฟราซาวด์ (Infrasound) ซึ่งเป็นระดับที่สัตว์อย่างช้าง วาฬ หรือฮิปโปโปเตมัสใช้สื่อสารกัน หากมีการขยายคลื่นเสียงนี้ให้รุนแรงขึ้น ผู้ที่สัมผัสกับคลื่นเสียงดังกล่าวจะเกิดอาการวิงเวียน ทรงตัวไม่อยู่ หรือในกรณีที่รุนแรงอาจไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
อย่างไรก็ตาม ดร.โทบี เฮย์ส ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคลื่นเสียงได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารนิวไซแอนทิสต์ว่า การโจมตีด้วยคลื่นเสียงแบบนี้จะต้องใช้ลำโพงขยายเสียงความถี่ต่ำจำนวนมาก ทำให้การลอบโจมตีด้วยวิธีนี้น่าจะทำได้ยาก

ส่วนคลื่นเสียงความถี่สูงที่เกินความสามารถการได้ยินของมนุษย์ หรืออัลตราซาวด์ ต้องมีความถี่สูงกว่า 20 กิโลเฮิร์ตซ์ขึ้นไป ซึ่งแม้จะฟังไม่ได้ยิน แต่ก็ทำให้เกิดความเสียหายกับหูบางส่วนได้ คลื่นเสียงชนิดนี้นับว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเป็นตัวการก่อเหตุในกรณีเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯในคิวบา เพราะมีการใช้แพร่หลายแล้วในทางการแพทย์ และมีลำโพงสำหรับใช้งานทั่วไปที่หาได้ง่าย สามารถใช้ส่งคลื่นอัลตราซาวด์ผ่านผนังหรือกำแพงได้
อย่างไรก็ตาม การโจมตีด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ยังมีข้อจำกัดอยู่ว่า อุปกรณ์ที่ใช้ต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะติดตั้งกับแบตเตอรีที่มีขนาดใหญ่เช่นกัน เพื่อให้มีพลังในการโจมตีเพียงพอ แต่การใช้งานก็เสี่ยงที่จะทำอันตรายแก่ผู้ที่ไม่ใช่เป้าหมายในบริเวณโดยรอบ รวมทั้งตัวผู้ก่อเหตุโจมตีเองด้วย
นายสตีฟ กู๊ดแมน ผู้เขียนหนังสือ “สงครามคลื่นเสียง” (Sonic Warfare) บอกกับบีบีซีว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าคลื่นเสียงที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยินนั้นจะทำให้สูญเสียการได้ยินได้จริงหรือไม่ เพราะข้อมูลในปัจจุบันยังมีไม่เพียงพอที่จะกล่าวเช่นนั้นได้
ใครมีเทคโนโลยีแบบนี้อยู่บ้าง ?
เอลิซาเบธ ควินทานา นักวิจัยอาวุโสจากราชสถาบันรวมเหล่าทัพเพื่อการศึกษาความมั่นคงและการป้องกันประเทศ (RUSI) ของสหราชอาณาจักรบอกว่า ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าประเทศใดมีการพัฒนาเทคโนโลยีนี้อยู่บ้าง ด้านคิวบาเองก็ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบโจมตีที่อ้างว่าเกิดขึ้นครั้งนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ประเทศที่สามซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐฯ จะเป็นผู้ก่อเหตุขึ้น
ก่อนหน้านี้มีการใช้งานปืนใหญ่คลื่นเสียง (Sound Cannon) กันอยู่แล้วในหลายแห่งทั่วโลก เช่น มีการติดตั้งกับเรือตรวจการณ์เพื่อใช้ขับไล่โจรสลัดในทะเล หรือใช้ในการปราบจลาจลที่ค่อนข้างรุนแรง โดยสามารถส่งเสียงดังสูงสุดถึง 150 เดซิเบลได้ในระยะ 1 เมตร และทำให้เกิดอาการหูดับได้ในรัศมี 15 เมตร บางรุ่นสามารถได้ยินไปไกลกว่า 1 ไมล์ แต่ก็ยังเป็นอุปกรณ์ที่มนุษย์สามารถได้ยินเสียงของมันได้ ต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สถานทูตสหรัฐฯ ในคิวบา
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.bbc.com/thai/international-41064919 ด้วยค่ะ

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *