ในบทความนี้เราจะมาว่าด้วยเรื่องของกำแพงกันเสียง Noise barrier โดยมีหัวข้อหลักดังต่อไปนี้
ปัญหามลภาวะทางเสียง (Noise Pollution) เป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น เช่น ทางหลวง, ทางด่วน, สะพานข้ามแม่น้ำ, และเส้นทางรถไฟ การใช้ Noise Barrier หรือ กำแพงกันเสียง จึงกลายเป็นหนึ่งในโซลูชั่นหลักในการช่วยลดเสียงรบกวนและปกป้องคุณภาพชีวิตของผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง
ปัจจุบันในประเทศไทยได้มีการร่วมมือระหว่างหน่วยงานหลายภาคส่วน ทั้งองค์กรภาครัฐ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานเอกชน รวมถึงห้องปฏิบัติการทดสอบด้านเสียง โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดข้อกำหนดและแนวทางและมาตรฐานในการออกแบบ ติดตั้ง และทดสอบประสิทธิภาพของกำแพงกันเสียง รวมถึงการใช้วัสดุที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในประเทศไทย รวมถึงยังมีการนำวัสดุทางการเกษตรและวัสดุรีไซเคิลมาพัฒนาให้ใช้งานในการป้องกันเสียงได้จริง
1. Reflective Barriers (กำแพงสะท้อนเสียง)
2. Absorptive Barriers (กำแพงดูดซับเสียง)
3. Combination Barriers (กำแพงผสม)
การออกแบบกำแพงกันเสียงที่สามารถกันเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น
การออกแบบหลักๆ ที่จะทำให้ค่าการกันเสียงของกำแพงออกมาได้ดีก็คือ ความสูงของกำแพง และความยาว ที่เหมาะสมกับสิ่งที่เราต้องการจะป้องกันเสียงโดยพิจารณาจากแหล่งกำเนิดเสียงและสุดผู้รับเสียง
ในต่างประเทศ และหลายๆโครงการในประเทศไทย ยกตัวอย่าง เช่นทางหลวงหมายเลข 9 ก่อนการติดตั้งกำแพงกันเสียงจริงๆจะมีการทำ Acoustic simulation หรือแบบจำลองทางเสียง ขึ้นมาก่อนเพื่อดูว่ากำแพงที่จะติดตั้งไปสามารถลดเสียงได้กี่ dB ในสภาวะจริง
ที่มา: https://www.geonoise.com/noise-barriers-for-lta-in-singapore
ที่มา: https://www.geonoise.com/taiwan-highway-to-get-noise-barrier-to-protect-birds/
สำหรับกำแพงที่ถูกติดตั้งที่หน้างานจริง หรือจำลองการติดตั้งแบบ Outdoor ก็สามารถทดสอบสมบัติทางเสียงได้เช่นกัน คือการวัดค่า Sound Insertion Loss (SIL) โดยมาตรฐานการทดสอบ ISO 10847 เพื่อดูการลดทอนของเสียงเมื่อผ่านกำแพงตามภาพด้านบน และในปัจจุบันยังมีเทคโนโลยีในการทดสอบค่า Sound absorption แบบ in-situ หรือการทดสอบในรูปแบบที่มีการติดตั้งกำแพงจริงที่หน้างานแล้วโดยใช้วิธีการ Local Plan Wave ที่ใช้ Array microphone ในการ scan ไปยังผิวของวัสดุเพื่อวัดค่าการดูกกลืนของคลื่นเสียง
การทดสอบกำแพงกันเสียงนั้นสามารถทดสอบในห้องปฏิบัติการที่เป็นการทดสอบความสามารถของเสียงเมื่อส่งผ่านวัสดุ ในมาตรฐานการทดสอบ ISO10140-2 หรือ EN1793 หรือ ASTM E90 ที่จะทดสอบได้ออกมาเป็นค่า Sound transmission loss (STL) หรือ TL แยกรายความถี่ ตั้งแต่ 125Hz จนถึง 4000Hz หรือช่วงที่กว้างกว่า และจะประมวลผลออกมาค่า rating ที่เป็นค่าตัวเลขตัวเดียวเป็นตัวบ่งบอกประสิทธิภาพการกันเสียงของตัววัสดุเอง ในประเทศไทยสามารถนำไปทดสอบได้ที่ ALT Acoustic Laboratory Thailand แต่พอนำกำแพงกันเสียงมาใช้ในในสภาวะแวดล้อมจริงสิ่งสำคัญอย่างนึงที่จะนำมาประเมินว่ากำแพงนั้นกันเสียงได้เท่าไร คือการทดสอบค่า Sound Insertion Loss (SIL) โดยมาตรฐานการทดสอบ ISO 10847 หลักการคือการวัดค่าความแตกต่างระหว่าง มีกำแพง และไม่มีกำแพง ในมาตรฐานการทดสอบจะมีการบอกระยะการติดตั้งไมโครโฟน และ จุดไมโครโฟนอ้างอิง รวมถึงการเลือกใช้ Sound source
นอกจากนี้กำแพงบางประเภทที่มีการออกแบบให้มีการดูดกลืนคลื่นเสียง หรือดูดซับเสียง Sound absorption ก็สามารถทดสอบค่าเหล่านี้ได้จากทางห้องปฏิบัติการเช่นกัน ซึ่งจะใช้มาตรฐานทดสอบ ISO354 หรือ ISO11654 หรือ ASTM E423 โดยจะใช้ห้อง reverberation chamber หรือห้องเสียงสะท้อน ในการทดสอบ โดยจะทดสอบเป็นค่าสัมประสิทธิ์ของการดูดกลืนคลื่นเสียง NRC และค่า Sound absorption รายความถี่
เพื่อให้การป้องกันเสียงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้:
เราต้องรู้ระดับเสียงที่ต้องการการป้องกัน โดยการตรวจวัดระดับเสียงในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ หรือตรวจสอบจากข้อร้องเรียนเกี่ยวกับเสียงรบกวนจากชุมชนใกล้เคียง การประเมินนี้จะช่วยให้เราเข้าใจถึงลักษณะของปัญหาและกำหนดขอบเขตในการออกแบบกำแพงกันเสียงได้อย่างชัดเจน
การเลือกวัสดุที่ใช้ในการสร้างกำแพงกันเสียงถือเป็นหัวใจสำคัญ วัสดุป้องกันเสียงสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก
นอกจากนี้ยังสามารถพิจารณา วัสดุทางเลือก (Alternative Materials) ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น วัสดุผสม หรือวัสดุที่มีการทดสอบในห้องปฏิบัติการในคุณสมบัติทางเสียง หรือการคำนวณทาง Acoustic Engineering เพื่อให้การป้องกันเสียงมีประสิทธิภาพสูงสุด
SoundPLAN เป็นเครื่องมือจำลองเสียงที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายๆประเทศ และในประเทศไทย การใช้ SoundPLAN ช่วยให้การออกแบบกำแพงกันเสียงเป็นไปอย่างแม่นยำ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่จำลองสถานการณ์จริง โดยใช้การคำนวณตามมาตรฐาน ISO 9613-2
ซอฟต์แวร์นี้ถูกใช้โดยองค์กรชั้นนำ เช่น:
การออกแบบโดยใช้ SoundPLAN จะช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์ของกำแพงกันเสียงก่อนการก่อสร้างจริง ทำให้เราสามารถปรับปรุงและปรับแต่งการออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพและความคุ้มค่า
โดยการทำแบบจำลองจะมีการวิเคราะห์ทางเสียงในหลายรูปแบบ การวิเคราะห์ผลการจำลอง (Result Analysis) หลังจากทำการจำลองแล้ว SoundPLAN จะสร้างแผนที่เสียง (Noise Maps) และกราฟแสดงผลการลดเสียง:
SoundPLAN ช่วยให้สามารถปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของกำแพงกันเสียงได้ตามผลการวิเคราะห์:
ในหลายๆโครงการที่มีการจ้างที่ปรึกษาในด้าน Acoustic ในการคำนวณและออกแบบตามหลักการที่ได้กล่าวมาในข้างต้นก็จะสามารถมั่นใจได้ว่าแนวกำแพงกันเสียงที่ติดไปมีประสิทธิภาพสูงสุด และยังช่วยประหยัดงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็น
การประเมินผลกระ…
เครื่องมือวัดเส…
การอนุรักษ์การไ…
WELL Building S…
การทดสอบค่าความ…
ซาวด์สเคป หรือ …
This website uses cookies.